วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

โจรปล้นธนาคาร เพราะอยากออกทีวี?

เรื่องโดย นายมาร์ค

เหตุการณ์ของการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น
 
ภาพโดยเจ้าของเรื่อง


          วันที่ 5 เมษายน 2556 ผมและพวกพี่แก๊งยากูซ่าพัทยา ได้นัดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่พัทยา ตอนที่เจอกันเวลาก็ประมาณ 11.20 น. ผมและพวกพี่ก็ได้สั่งอาหารมารับประทานกันแล้วเวลาก็ผ่านไปสักประมาณ 10 นาที ผมและพวกพี่ที่นั่งทานข้าวด้วยกัน ก็ได้คุยกับผมว่า
       “น้องรักของพี่ พี่มีเรื่องให้ช่วยอยู่พอจะช่วยพี่ได้ไหม” 

         ผมก็เลยพูดว่า  “เรื่องอะไรเหรอคับพี่”
       “ถ้าพี่บอกน้องรักไปน้องต้องเก็บเป็นความลับนะ ห้ามเปิดปากบอกใครเลยเด็ดขาดโอเคป่ะ”
       ผมก็เลยพูดออกไปว่า “ได้คับ ผมสัญญา” แล้วผมก็ถามว่า “ตกลงเรื่องอะไรเหรอคับพี่ ที่พี่จะให้ผมช่วย”  “พี่พูดไปห้ามตกใจละ”  “ ครับพี่”


 
       “พี่ว่าจะให้น้องรักไปปล้นแบงค์หรือที่เรียกกันว่าธนาคารนั้นเอง”
        ผมได้ฟังแล้วถึงกับอึ้งไปพักนึง แล้วผมก็พูดว่า “พี่ครับ ปล้นแบงค์เลยเหรอคับ”
        พี่ก็พูดว่า “จุจุ เบาๆ หน่อย” “ครับๆ เบาๆ” พี่ก็พูดว่า “ไปปล้นแบงค์พี่มีค่าจ้างให้นะ”
        ผมก็เลยพูดต่อไปว่า “แล้วจะให้ไปปล้นที่ไหนอ่ะคับ”
        พี่ก็พูดต่อไปว่า “น้องรู้จักจังหวัดสระแก้วไหมละ”
        ผมก็พูดว่า "รู้จักคับ หรือว่าพี่จะให้ผมไปปล้นที่จังหวัดสระแก้วใช่ไหมคับ”
        พี่ก็บอกว่า “ใช่แล้วน้องรัก”
       ผมก็พูดขึ้นต่อว่า “ทำไมถึงไปไกลจัง” พี่เค้าก็พูดว่า “ก็ที่นั้นอ่ะเพื่อนพี่บอกว่าธนาคารกรุงไทย ใจกลางเมืองสระแก้วอ่ะ ตอนกลางคืนไม่ค่อยมีคนเลย”
        ผมก็ทักขึ้นว่า “แล้วพี่จะให้ผมไปทำอะไรเหรอคับ” “น้องก็รู้ดีว่า เราเดินสายลักทรัพย์และฆ่ามานานแล้ว แต่ยังไม่เคยโดนจับสักที พี่ก็เลยคิดว่าจะทำให้แก๊งเราดังสักหน่อย พี่ก็เลยอยากให้น้องรักช่วย ทำยังไงก็ได้ทำให้แก๊งเราดังหน่อย เกี่ยวกับธนาคารแล้วออกทีวีด้วย”
       ผมถึงกับอึ้งไปครู่นึง แล้วผมก็พูดต่อ “ถ้าผมทำได้ผมจะได้อะไรคับ” พี่เค้าก็พูดขึ้นต่อมาว่า “ได้อยู่แล้วของตอบแทนอ่ะ” “ผมจะรู้ได้ไงว่าผมจะได้”
       พี่ก็พูดต่อว่า “งั้นเอางี้ไหม พี่จ่ายเงินสดเลย สามแสนบาทเลย เป็นมัดจำไว้ โอเคยังละทีนี้”
       ผมก็เลยพูดต่อว่า “โอเคครับพี่ แล้วผมจะได้ตังค์วันไหนละครับ”
       พี่ก็พูดว่า “วันนี้เลยหลังคุยธุระเสร็จนี้แหละ”
      “แล้วพี่จะให้ผมทำงานวันไหนครับ” พี่เค้าก็บอกว่า “วันที่ 8 เมษายน 2556 ตอนเช้าก็ขับรถไปที่สระแก้วเลย แล้วน้องก็หาโอกาสเหมาะๆ ทำตามที่เราคุยกันไว้เลย โอเคไหมน้องรัก” พี่พูดจบ ผมก็พูดว่า “โอเคครับ”
       พอคุยเสร็จเราก็เรียกพนักงานเช็คบิลค่าอาหาร พอเราจ่ายเสร็จ ก็ออกนอกร้านไปที่ธนาคาร เวลาประมาณ 13.15 น. เราก็มาถึงธนาคาร พี่เขาก็ลงจากรถไปกดตังค์มาให้ผมตามที่คุยกันเอาไว้ พอผมได้รับตังค์ครบเสร็จ พี่ก็พูดว่า “โชคดีนะน้องรัก”   ผมก็บอกว่า “ครับพี่” จากนั้นเราก็ขึ้นรถไปทางใครทางมัน
       พอผมกลับถึงบ้าน พอลงรถเสร็จ ผมเดินเข้าไปในบ้าน แฟนผมก็ถามว่าไปไหนมา ผมก็บอกว่าไปหาเพื่อนมาครับที่รัก แฟนผมก็ไม่เอ่ะใจอะไรต่างคนต่างทำหน้าที่ ผมก็บอกกับแฟนก่อนจะไปทำหน้าที่ต่างๆ ตัวเองเค้าต้องไปดูงานที่สระแก้วนะคุณครูบอกมา วันที่ 2 เมษายน แล้วแฟนผมก็บอกว่าปิดเทอมแล้วยังต้องไปอีกเหรอ ผมก็เลยบอกว่าไปดูแทนคุณครู เค้าเป็นตัวแทนห้องอ่ะนะ แฟนผมก็ไม่เอ่ะใจ ก็บอกว่าถ้าไป อย่าไปมีคนใหม่ละ ผมก็เลยบอกว่าครับที่รัก 

 


ภาพโดยเจ้าของเรื่อง

      เวลาก็ผ่านไปเร็วมากจนถึงวันที่ 8 เมษายน ผมก็เตรียมตัวละ ผมก็ออกเดินทาง แฟนผมก็ยกมือบ๊ายบายให้ผม พอออกเดินทางมาถึงสระแก้วตามที่ว่ากันไว้ ตอนนี้เวลาก็โดยประมาณ 16.50 น. ผมก็ไปนั่งทานข้าวอยู่ธนาคารที่ว่าไว้ พอทานข้าวเสร็จเวลาก็ประมาณ 17.20 น. ผมก็รอเวลากว่าจะมืด ผมก็เลยไปนั่งอยู่ที่ร้านเกม ผมก็นั่งเล่นเกมโดยไม่จำกัดเวลา พอผมนั่งลงที่โต๊ะที่ผมเลือกไว้ แล้วผมก็เล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อย ตามภาษาคนรอเวลา แล้วผมก็นึกคิดถึงแฟนขึ้น ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรหาแฟน พอแฟนผมรับ เรา 2 คนก็คุยตามภาษาคนคิดถึงหรือเรียกอีกอย่างว่า คนรักกัน เราสองคนก็คุยกันนานพอสมควรจนเวลาผ่านไปสัก 2-3 ชั่วโมง ที่เราสองคนโทรคุยกัน รู้ไหมครับว่า ผมหมดค่าโทรไปเท่าไหร่ เกือบ 200 บาทแน่ะ ผมลืมกดสมัครโทรฟรี ก็เลยหมดเยอะหน่อยอะนะครับ พอผมวางโทรศัพท์ก่อนจะวางหู ผมก็บอกว่าหลับฝันดีนะ จร้า แฟนผมก็พูดขึ้นมาว่าแล้วตัวเองไปนอนที่ไหนอะ ผมก็เลยพูดขึ้นต่อมาว่า ห้องเช่าลายวันอะนะ แฟนผมก็บอกว่าจร้า แค่นี้นะที่รัก ผมก็บอกว่าครับ พอวางหูเสร็จผมก็เลยเล่นเกมต่อไป ผมก็ดูเวลาตอนนี้ เวลาก็สัก 21.30 น. ผมก็คิดว่ายังคงไม่ได้เวลาหรอกมั้ง ก็เลยเล่นเกมต่อไป จนเวลาผ่านไป ดูนาฬิกาอีกทีก็ 5 ทุ่มกว่า ผมก็คิดว่าเวลาตอนนี้คงจะเหมาะแล้วละ ผมก็เลยเดินไปจ่ายตังค่าเกม พอจ่ายเสร็จผมก็เดินออกจากร้านเกมไป ผมก็ขี่รถไปที่ธนาคารกรุงไทย ของจังหวัดสระแก้ว

 
     พอผมมาถึงผมก็ยืนคิดอยู่ครู่นึงแล้ว เดินไปดูธนาคารว่าจะทำยังไงให้ตำรวจมาแล้วออกทีวี พอดีอยู่ข้างหน้าผมมีก้อนอิฐตัวหนอนอยู่ผมก็เลยคิดอะไรออก ก็เลยตัดสินใจทุบกระจกตู้บูทของธนาคารเข้าไป เป็นกระจกที่หนามาก ผมใช้เวลาทุบพอสมควร พอกระจกแตกผมก็เข้าไปในธนาคาร พอผมเข้ามาในตู้บูทของธนาคารเสร็จ ผมก็เดินเข้าไป ผมก็เลยไปเจอตู้เซฟอยู่ตู้นึง ผมก็เลยไปจับดู แล้วก็มีเสียงสัญญาณกันขโมยดังขึ้น ผมคิดว่ามันคงจะดังอยู่แค่ในตู้บูทเท่านั้น แต่ไม่ใช่เลยครับ มันไปถึงสถานีตำรวจสระแก้วเลย ผมกำลังจะวิ่งหนีเลยครับตำรวจก็มาถึงพอดี ผมก็เจอตังอยู่ลิ้นชักอยู่ถุงนึง ก็เลยเก็บใส่กระเป่ากางเกง แล้วผมก็ยืนอยู่เฉยๆ ตำรวจก็เปิดประตูเข้ามาในตู้บูทของธนาคาร ผมก็เลยยื่นมือมาให้ตำรวจจับ ผมก็ถูกจับไปขังที่ สภ. สระแก้ว ผมก็ดีใจมากครับ ที่ทำให้ออกทีวีได้ แล้วผมก็คิดได้แล้วว่าการติดอยู่ในคุกนี้ทรมานแค่ไหน ผมก็อยากให้ทุกคนอย่าเอานิสัยหรือพฤติกรรมของผมที่ดีอย่าเอาเป็นแบบอย่างนะครับ 

 คดีนี้ถูกจับวันที่ 8 เมษายน 2556

 คติ ทำให้เพื่อนเป็นผลดี แต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเกินเยียวยา


สัมภาษณ์เด็กและเยาวชน

ความคิด/ความรู้สึกของเยาวชนก่อนที่จะทำตามเหตุการณ์ข้างต้น

"ผมรู้ตื่นเต้น คึกคะนองมากเลยครับกับเหตุการณ์นี้ ผมไม่ยักรู้มาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้"

ความรู้สึกขณะนี้ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

"รู้สึกกระวนกระวาย อยากจะทำอย่างเดียวเลย คุ้มสติไม่อยู่ "

ความคิด/ความรู้สึกหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้ว

"รู้สึกผิดมากและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะความโลภมาก คึกคะนองตน จึงทำอะไรวู่วามเกินไปรู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว"

แนวทางการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น

"ต้องรู้จักการคุมอารมณ์ คุมสติให้อยู่ นึกถึงคนที่เรารัก เชื่อฟังพ่อแม่เหนือคนใกล้ชิตที่หวังดี"

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผมฆ่าคนตาย !!!!???

เรื่องโดย....นายกิ๊ป
      
เหตุการณ์ของการกระทำ 

          ความผิดที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 เวลาประมาณตี 2 กว่าๆ ผมได้ชวนกันไปเที่ยวพร้อมกับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งมีนาย เดรส นายท๊อป นายกอลฟ์ นายอาท นายด้า และตัวผมเอง "กิ๊ป"

        พวกเราได้ชวนกันไปกินเหล้าที่ผับแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี เมื่อนั่งกินเหล้ากันไปได้สักพัก ก็มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งประมาณ 15-16 คนได้ตะโกนโวกเวกโวยวาย ท่าทางเหมื่อนจะหาเรื่องกลุ่มของผม แล้ว 1 ใน 16 คนนั้นได้มีอาการเมาและเดินไปเข้าห้องน้ำ พอเขาเข้าห้องน้ำเสร็จ เขาจะเดินกลับมาที่โต๊ะ แต่เขากลับเดินมาชนโต๊ะของผม พอเขาชนโต๊ะของพวกผมเสร็จแทนที่เขาจะพูดว่า "ขอโทษ" แต่เขากับพูดว่า “มีอะไรรึป่าว” ซึ่งทำให้พวกผมไม่พอใจเป็นอย่างมาก และหลังจากนั้นต่างฝ่ายก็มีปากเสียงกันตะโกนด่าทอกันอย่างรุนแรง ซึ่งตัวของผมตอนนั้นมีอาการมึนเมา เพื่อนของผมนั้นได้มาบอกผมว่า จะตามไปเอาเรื่องคนที่มาเดินชนโต๊ะ พอผับปิดเวลานั้นประมาณตี 3 กว่าๆ ผมขี่รถไปกับเพื่อนทั้ง 5 คน และมีอาวุธ คือ มีด 1 เล่ม ซึ่งเป็นของเพื่อนผมที่มีชื่อว่า นายเดรส  

         พวกผมขี่รถไปเจอรถจักรยานยนต์คันหนึ่งซึ่งคล้ายกับรถของกลุ่มวัยรุ่นที่ผมตามหา เพื่อนของผมได้เอามีดชี้และผมได้ถีบรถคันดังกล่าวจนรถคันนั้นได้ไปชนกับฟุตบาทและหนึ่งในผู้เสียหายหัวได้ไปกระแทกกับโต๊ะไม้หินอ่อน และผมก็ได้รู้ว่าไม่ใช่รถกลุ่มวัยรุ่นที่พวกผมกำลังตามหาซึ่งเป็นการเข้าใจผิด(จึงเป็นผลให้ผู้เสียหายที่ผมได้ถีบรถของเขานั้นนอนอาการโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงทุกวันนี้)
 
 
         จากนั้นพวกผมได้ขี่รถไปซื้อข้าวมานั่งกินกัน ซักพักมีวัยรุ่น 3 คน ที่ผมกำลังตามหาอยู่นั้นได้ขี่รถผ่านมาและได้ตะโกนบอกว่าไหนๆใครแจ๋ว ผมกับพวกของผมขี่รถตามไปอย่างเร็วแล้วสุดท้ายก็ตามทัน ผมขู่ให้เขาจอดรถ เพื่อนของผมได้ตะโกนบอกไปว่า “ถ้าไม่จอดจะเอาปืนยิง” 

        พอเขาได้ยินดังนั้น เขาจึงหยุดรถ ตัวผมลงไปถามว่า “เมื่อซักคู่ใครตะโกนบอกว่าไหนๆใครแจ๋ว” และในขณะนั้นตัวผมเองนั้นอยู่ในอาการมึนเมาและโมโหเป็นอย่างมาก พร้อมกับความใจร้อนและคึก   คนองของตัวผมเอง จึงยกเอามีดขึ้นมาฟันไปที่แขนของผู้เสียหายคนแรก จำนวน 1 ครั้ง และวิ่งไปแทงคนที่สองอีก 1 ครั้ง จากนั้นพวกผมก็ได้วิ่งหนี ตัวผมเองก็ได้หลบหนีกลับมาที่ห้องพัก

       พอวันรุ่งขึ้นผมก็ได้ไปเที่ยวผับที่เก่า แฟนของผมได้บอกว่า คนที่ผมไปแทงได้เสียชีวิตแล้ว พอผมรู้ก็หลบหนีไปอยู่กับเพื่อนชื่อนายเดรส และหนีไปอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม อยู่ได้ประมาณ 3 วัน ก็ได้โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมโดยการจับสัญญานโทรศัพท์ ถูกตั้งข้อหาร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่น หลังจากนั้นผมก็ได้ไปทำแผนประกอบคำสารภาพตามที่เกิดเหตุ  และได้ถูกส่งตัวมาที่สถานพินิจ และในวันที่ 16 พฤษภาคม 2556……

บทสัมภาษณ์
ความคิด/ความรู้สึกของเยาวชนก่อนเกิดเหตุการณ์
“โมโหมาก บวกกับคำยุแยงของเพื่อน และเป็นการคึกคะนองของตัวผมเอง”

ความรู้สึกขณะเกิดเหตุการณ์
“โมโห โกรธ เมา สะใจที่ได้แก้แค้น และตกใจเมื่อลงมือไปแล้ว ”

ความคิด/ความรู้สึกหลังจากที่เกิดเหตุการณ์
“เสียใจครับ”
“รู้สึกเสียใจแต่ก็ทำลงไปแล้ว จะแก้ไขก็ไม่ได้ แต่เราเป็นลูกผู้ชายทำผิดก็ต้องกล้ารับกับสิ่งที่ตัวผมทำลงไป”

แนวทางการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมข้างต้น
“ก่อนที่จะทำอะไรลงไปทุกครั้ง ควรคิดให้เยอะๆ คิดถึงคนรอบข้าง พ่อแม่ พี่น้อง และนึกถึงใจเค้าใจเรา”

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

3 โจ๋ตีนายจ้างดับอนาถกลางที่นอน

เรื่องโดย นายแมวป่าฯ

เหตุการณ์ของการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น 

         เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 10 มีนาคม 2556 วันนั้นผมได้นัดกับแฟนของผมว่าจะไปเที่ยวกัน แล้วผมก็ไปเที่ยวกัน 2 คนกับแฟน ซึ่งวันนั้นเป็นวันหยุดงานของผม (ผมมีอาชีพเป็นช่าง ซ่อมรถยนต์อยู่ร้านอยู่ใกล้ๆบ้านของผม) และผมจะไม่ค่อยชอบหน้านายจ้างของผมซักเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นคนชอบด่า ชอบบ่นไม่มีเหตุผล เพราะเหตุนี้แหละคับจึงทำให้ผมไม่ชอบเขา


 
        เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2556 ซึ่งผมได้ไปเที่ยวกับแฟนผม ที่เขาพระบาทพลวง ผมกลับไปที่บ้านของผม แม่ของผมก็บอกว่า นายจ้างของผมโทรมา ถามว่าทำไมไม่ไปทำงาน ผมก็บอกไปว่าวันนี้วันหยุดของผมไม่ใช่เหรอ และเขาก็บอกผมว่า ถ้าเกิดทำตัวแบบนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วผมก็ปรึกษาแม่ของผม ว่าผมจะทำงานต่อกับเขาได้ไหม แม่ของผมก็บอกว่าถ้าทำไม่ได้หรือไม่ไหว ก็ลาออก แล้วหางานทำใหม่เถอะลูก ผมก็บอกกับแม่ของผมว่าแล้วหนูจะพยายาม แล้วแม่ผมบอกกับผมว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ไปเก็บเสื้อผ้ามา พอแม่ของผมพูดจบ ผมก็บอกกับแม่ผมว่า งั้นผมจะหางานใหม่ทำ

ภาพโดยเยาวชนเจ้าของเรื่อง

          จากนั้น ผมก็บอกลาแม่ว่า ผมกับแฟนของผมกลับแล้วนะแม่ ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ผมขี่มาเรื่อยๆ ผมก็มองไปเห็นป้ายหน้าร้านอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง เขียนว่ารับสมัคช่างฝีมือดี ผมก็ได้จอดรถลงไปถามเขาว่าผมขอสมัครงานหน่อยครับ เขาก็บอกผมทำอะไรเป็นบ้างละ ผมก็บอกเขาว่าเป็นนิดหน่อยคับ แล้วเขาก็บอกว่าตอนนี้ช่างใหญ่ไม่อยู่หรอก อีกประมาณ 1 อาทิตย์ กว่าจะกลับ เดี่ยวพี่ขอเบอร์น้องไว้แล้วกัน ยังไงพี่จะติดต่อไปแล้วกันนะ ผมก็จดเบอร์ให้กับพี่คนที่ขอเบอร์ผม แล้วผมก็บอกกับพี่คนนั้นว่า ผมไปก่อนนะครับ


       ผมก็ขี่รถออกไปผมก็ขี่รถไปเรื่อยๆจนถึงอู่ที่ผมเคยอาศัยอยู่กับเขา หรือคนที่โทรตามผมให้ไปทำงาน พอผมถึง ผมก็เห็นเขานั่งอยู่หน้าบ้านของเขา ซึ่งผมก็ได้เดินเข้าไปกะว่าจะเข้าไปเก็บเสื้อผ้าของผม แล้วค่อยเดินออกมาบอกกับเขา แต่พอผมเดินผ่านหน้าของเขา เขาก็ได้พูดคำเดิมของเขาออกมา “ถ้าเป็นแบบนี้เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ” ผมก็เลยบอกกับเขาไปว่า “ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ดิ ผมขอลาออก” ตอนนั้นก็ประมาณสัก 1 ทุ่มกว่าๆ ผมก็ได้เดินเข้าไปเก็บเสื้อผ้าของผม ซึ่งนายจ้างของผมได้เข้านอนเพราะเขาทานยานอนหลับไป ผมก็เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมก็ได้โทรหาแม่ของผม ให้มารับหนูที แม่ก็บอกผมว่าไม่ว่าง แล้วผมก็นึกได้ว่าผมมีเบอร์ของเพื่อนอยู่ ซึ่งเพื่อนผมชื่อ ต้อม หลังจากผมวางสายแม่ของผมแล้ว ผมก็ได้โทรหาไอ้ต้อม ผมบอกมันให้มารับหน่อยเพื่อน ไอ้ต้อมก็ถามผมว่าทำไม ผมก็เลยบอกว่าโดนไล่ออกจากงานแล้ว มันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมก็เลยถามมันว่ามีปืนไหม เขาก็ตอบว่ามี แล้วลูกปืนละ มันก็บอกว่ามี งั้นมึงเอามาด้วยนะ เพื่อนผมก็ถามว่าทำไมว่ะ “กูจะยิงมันว่ะ” เพื่อนผมก็บอกว่าเออ แค่นี้แหละเดี่ยวกูไปกับต้นนะ ผมก็บอกว่ามึงมากันแค่ 2 คนนะ เพื่อนผมก็บอกว่าเออเพื่อน


       แล้วเพื่อนเขาก็มา พอมาถึงผมก็ถามมันว่ากินเหล้าไหม แล้วเพื่อนก็บอกว่ากิน แล้วผมก็เดินไปซื้อเหล้าร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ พอผมซื้อมาผมก็เปิดเหล้า เซ่นเจ้าที่ เหล้าผมก็กระดก 1 ที แล้วผมก็ส่งต่อให้ไอ้ต้อม แล้วให้ไอ้ต้อมกระดกอีก 1 ที แล้วส่งให้เพื่อนอีกคน คนละ1 ที พอวนเสร็จผมก็ควักบุหรี่ออกมาดูด 1 ตัว ผมก็ถามมันว่าถ้ากูฆ่าคน มึงจะเอากับกูไหม แล้วไอ้ต้อมและไอ้ต้นก็ตอบว่ากูเอา แล้วผมก็ถามไอ้ต้อมว่าไหนปืนละ แล้วไอ้ต้นก็ควักปืนออกมาให้ผม แล้วผมก็หยิบปืนดูว่าเป็นปืนอะไร พอผมจับดูมันก็คือ ขนาด .22 แม็กซีน มึงตามกูมานะ พอพวกมึง 2 คน จับมันออกมานะ

        ขณะนั้นประมาณ 4 ทุ่งครึ่งแล้ว ผมก็ได้ค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในบ้านพบว่า ห้องข้างๆยังไม่นอน เพราะว่าห้องข้างๆเป็นร้านหมูย่างเกาหลี ผมก็ได้ปรึกษาไอ้ต้นและไอ้ต้อมว่า เอายังไงดี ถ้ายิงมันก็เสียงดังแล้วห้องข้างๆก็จะออกมาดูนะโว้ย ไอ้ต้อมและไอ้ต้นก็ได้บอกให้ผมไปช่วยกันเข็นรถมอเตอร์ไซค์ที่จะขโมยมันไปก่อน เข็นรถออกไปไว้หลังบ้าน ผมก็ได้ปรึกษากับไอ้ต้อมและไอ้ต้น อีกครั้งหนึ่งว่าเอายังไง ไอ้ต้อมก็พูดว่าถ้าไม่ฆ่ามันตำรวจก็รู้ดิว่าใครเอารถมันไป ฉะนั้นเราต้องฆ่ามัน
 
       .....ตอนนั้นรู้สึกเหงื่อไหล มึนนิดๆหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป หลังจากที่ไอ้ต้อมพูดเสร็จ ไอ้ต้อมก็บอกว่าให้หาเหล็กคนละอัน ซึ่งผมก็บอกว่าข้างในอู่มีเยอะแยะเลย พอผมพูดเสร็จผมก็เดินเข้าไปในอู่ พอเรา 3 คนเข้ามาหาเหล็ก เรา 3 คนก็ได้เหล็กคนละอันแล้ว หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้อง ซึ่งไอ้ต้อมได้เข้าไปก่อน ซึ่งมันบอกว่ามันจะลงมือเอง ส่วนผมกับไอ้ต้นนั้น รออยู่หน้าประตู ส่วนไอ้ต้อมอยู่ในห้องของนายจ้างผม เพียงคนเดียว
 
 


        สักพักผมก็ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ ตุบตุบ 2 ที ผมก็ได้เข้าไปดูพบว่า ไอ้ต้อมได้ตีนายจ้างของผมเข้าที่ลูกกระเดือก ตอนนั้นนายจ้างได้ชัก 1 นาที แล้วก็นิ่งไป ผมกับไอ้ต้นก็ได้วิ่งออกจากห้อง ส่วนไอ้ต้อมมันวิ่งออกมาทีหลัง ตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกกลัวมาก แล้วผมก็ได้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่ขโมยมา เพื่อหลบหนี ซึ่งผมได้หลบหนีไปอยู่ที่บ้านแม่ ประมาณ 2 วัน แม่ของผมก็บอกให้ผมมามอบตัวกับตำรวจ ผมก็ได้มาที่โรงพัก เพื่อมามอบตัว หลังจากนั้นผมก็ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

                                                                                       ........คติ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
 

ความคิด/ความรู้สึก
ก่อนที่จะทำตามเหตุการณ์ข้างต้น
"รู้สึกโกรธมากๆ และรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้านายจ้าง"


ขณะที่เกิดขึ้นต่อเหตุการณ์
"รู้สึกเหงื่อออก สั่นนิดๆ กลัวหน่อยๆ"

หลังจากเหตุการณ์แล้ว
"รู้สึกว่าผมไม่น่าทำลงไป รู้สึกสงสารเขา และครอบครัวของเขา"

แนวทางการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์หรือพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น

"ผมควรจะเป็นคนใจเย็น และคิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนที่จะทำอะไรไป"
 

จุดจบ..นักรบ



โดย นายวีรภัทรฯ
หตุการณ์ของการกระทำความผิดที่ เกิดขึ้น

       ก่อนที่จะเข้ามาในนี้เมื่อก่อนผมเคยเป็นนักเลงชอบมีเรื่องชกต่อยอยู่เป็นประจำในกลุ่มในแก๊งผมมีกันอยู่ไม่เยอะเท่าไร เพื่อนๆ ของกระผมยอมรับในตัวผมในเรื่องอย่างนี้ พวกเขาจึงให้ผมเป็นผู้นำ


      ทุกวันศุกร์ วันเสาร์ ผมจะรวมกลุ่มกันเพื่อจะไปแก้แค้นพวกวัยรุ่นที่เคยมา รังแกพวกผม จึงเป็นต้นเหตุของการมีเรื่องทะเลาะวิวาท ในเขตพื้นที่ผมอยู่นั้น มีกลุ่มแก๊งวัยรุ่นอยู่กันมาก จึงทำให้มีเรื่องกันบ่อย

      มีวันหนึ่ง เพื่อนของผมชื่อ เป้ เขาได้ออกไปซื้อของกิน เขาบอกว่าเขาจะกลับมาในเวลา 17.00 น. เย็นแต่ผมรอเขาอยู่จนถึงว่า 22.00น. เขายังไม่กลับมา จนพวกผมได้รวบรวมกันตามหาและได้ทราบข่าวว่าเพื่อนของผม โดนวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตี อาการของเพื่อนผมนั่น สาหัสมาก ผมตกใจอยู่พักหนึ่ง เพื่อนของผมที่ ชื่อ บอย ก็ได้บอกว่า เป้ เคยมีเรื่องกับพวกแก๊ง ต้นไทร แก๊งพวกนี้ คือ พวกแก๊งอัธพาลมันไม่สนว่าใครเป็นใครไม่พอใจมันก็ตี ผมแค้นมาก ผมรักเพื่อนมาก ผมทนไม่ไหวในตอนนั้นผมได้กลับไปบ้านเอามีดดาบยาวประมาณ 1 ศอก ขี้นรถตามหาคู่อริ แต่ก่อนจะออกไปแม่ของผมได้เตือนด้วยความหวังดีว่า

     “อย่าเลยลูกอย่าออกไปทำแบบนั้นเลยมันไม่ดี”


ภาพโดยเจ้าของเรื่อง


      แต่ผมไม่ฟังแม่ ผมออกไปตามหาคู่อริจนเจอ ผมได้ใช้มีดเล่มที่ผมติดตัวมาออกไล่แทง คู่อริ แทงใครบ้างจำไม่ได้ จำนวนของคู่อริเยอะกว่า สุดท้ายผมจึงโดนรุมโดนยิง ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนที่ผมอยู่โรงพยาบาล ผมหวังเพียงอย่างเดียวว่า เพื่อนๆ ผมจะต้องมาดูแลผมอย่างแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครเลยสักคนมาดูผม มีเพียงแม่ของผมที่เดินเข้ามาพร้อมขนม แม่ไม่โกธผม แถมเป็นห่วงผมอีกต่างหาก 
 
     “เป็นไงบ้างลูกแม่บอกก็ไม่ฟัง ก่อนที่ลูกจะรักคนอื่นนะลูกรักตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังลูกจะไปรักใครได้ ตัวเองยังไม่รักเลย”



..................................



บทสัมภาษณ์ความคิด/ความรู้สึกของเยาวชน

ก่อนที่จะทำตามเหตุการณ์นี้
"...โมโห โกรธ ลืมยั้งคิดว่า สิ่งที่ตัวกำลังจะทำมันถูกหรือผิด"


ขณะที่เกิดเหตุการณ์
"รู้สึกผิดต่อตัวเองที่แม่เตือนไม่ฟัง อยากย้อนเวลากลับไป"


หลังเกิดเหตุการณ์แล้ว
"รู้สึกซึ้งในความรักของแม่"


แนวทางการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์หรือพฤติกรรมดังกล่าว
"เชื่อฟังพ่อแม่ รักตัวเองรักพ่อแม่ให้มากๆ อย่าเอาเพื่อนมาแทนคนในครอบครัว"


วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผมถูกตั้งข้อหา พรากผู้เยาว์...??

เรื่องโดย..นายนนท์ หรือ เบียร์ ข้อหาพรากผู้เยาว์ฯ

ความผิดที่เกิดขึ้นกับผม....เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมได้ไปชอบผู้หญิงคนหนึ่ง(ตามประสาวัยรุ่น) เราก็ได้แลกเบอร์โทร.กัน เราก็คบหาแบบเป็นแฟนกันเป็นเวลาพักหนึ่ง


ภาพโดย เจ้าของเรื่อง


         วันที่เกิดเหตุ คือ วันที่ 26 ธันวาคม 2556 เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น พอผมไปรับก็รู้ว่า แฟนโทรมาผมจึงฮัลโหลไปทันที จากนั้นเสียงในสายก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เบียร์วันนี้ว่างไหมพาหนูไปเที่ยวหน่อย” ผมจึงตอบกลับไปว่า “แล้วออยจะไปไหนล่ะ” เขาจึงตอบกลับมาทันทีว่า “หนูอยากไปเที่ยวน้ำตก งั้นพี่มารับหนูที่หน้าบ้านนะ” จากนั้นพอวางสายไปผมก็ได้ขับรถไปรับเธอที่หน้าบ้าน

         เราทั้งสองก็ใช้เวลาทั้งวันไปด้วยกันที่น้ำตกอย่างมีความสุข

        พอถึงเวลาประมาณ 17.00 น.ผมก็ได้พาเธอกลับมาส่งที่บ้าน จากนั้นผมก็กลับมาที่บ้านของผม ผมจึงอาบน้ำและทานข้าวเตรียมตัวจะเข้านอน เวลาประมาณ 21.30 น. เหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์มาดูก็รู้ว่าเป็นแฟนตัวเองโทรมา ผมก็รับโทรศัพท์ในทันที(ในใจก็คิดว่าโทร.มาทำไมดึกดื่น) จากนั้นเธอก็พูดมาในสายว่า "พี่เบียร์ออกมาหาหนูหน่อยดิ หนูรออยู่หน้าบ้านพอดีพ่อกับแม่หนูไม่อยู่ มาอยู่บ้านเป็นเพื่อนหนูหน่อย" ผมก็ได้ตอบตกลงไป หลังจากวางสายไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็ได้ไปหาเธอที่บ้าน ผมจึงถามเธอไปว่า “ออย พ่อแม่ไปไหนอ่ะ” เธอจึงตอบมาทันที "พ่อแม่หนูไปต่างจังหวัด" จากนั้นเราก็นั่งคุยกันซักพักนึง

        จนเวลามันล่วงเลยเกินพอสมควร ....

        จากนั้นเราก็เข้าไปนอนในบ้าน โดยเรานอนเตียงเดียวกัน จากนั้นเป็นเพราะความมืดและตามภาษาวัยรุ่นที่เราคบกันเป็นแฟน จึงทำให้เราเกิดมาอารมณ์ทางเพศ แล้วเราทั้งสอง ก็มีอะไรกัน

        พอรุ่งเช้าผมก็ขอตัวกลับบ้านผมก่อน ผมก็ไม่คิดอะไรมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เพราะคิดว่าคงไม่มีใครรู้หรอก โดยเราก็คุยกันเป็นปกติ

        พอเช้าวันที่ 28 ธันวาคม 2555 แฟนผมเขาก็โทรมาแต่เช้าตรู่ ผมก็ไม่คิดอะไรมากเพราะมันเป็นเรื่องปกติ พอรับโทรศัพท์เท่านั้น ผมก็ต้องตกใจเมื่อเธอพูดว่า "พี่เบียร์ พ่อแม่หนูรู้หมดแล้ว พอดีมีคนข้างบ้านเขาเห็นพี่มานอนกับหนู" ผมก็ตกใจพูดอะไรไม่ถูก จากนั้นก็มีเสียงแทรกมาว่า "ให้มาคุยกันที่บ้านก่อนว่าจะเอายังไง" พอพูดจบเขาก็วางสายไป

       ผมนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกพ่อบอกแม่ของผม หลังจากนั้นเราก็พากันไปที่บ้านของแฟนผม เมื่อไปถึงพ่อของเธอก็มาต่อว่าผมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเขาเรียกค่าเสียหาย 5 หมื่นบาท พ่อผมก็ยอมตกลงจ่ายเงินให้ เรื่องจบลงเราทั้งสองก็ต้องเลิกลากันไปโดยพ่อแม่ของออยสั่งห้ามผมไปยุ่งกับเธออีก  

        หลังจากนั้นจนมาถึงเดือนมกราคม 2556 ตำรวจก็มาหาผมที่บ้านมาเอาหมายจับมาให้ผมดู ผมตกใจในทันทีที่เห็นหมายจับในข้อหาพรากผู้เยาว์ โดยที่ว่าเรื่องของผมมันจบไปตั้งนานแล้ว โดยที่ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ของออยไปแจ้งความเอาไว้ ผมและพ่อแม่ของผมก็ชี้แจงกับตำรวจไปว่าทางผมได้ชดใช้ค่าเสียหายให้เขาไปแล้วในครั้งนั้น แต่ตำรวจเขาตอบว่า มันเป็นคดีอาญายอมความกันไม่ได้ตั้งแต่วันนั้นเราก็สู้คดีกันเป็นเวลานานพอสมควร จนมาถึงปี 2556 ผมก็ถูกศาลสั่งควบคุมตัวไว้ในสถานพินิจ เพื่อดูความประพฤติ ซึ่งผมยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร…


บทสัมภาษณ์ความคิด/ความรู้สึกของเยาวชน

ก่อนที่จะทำตามเหตุการณ์ข้างต้น

"......ตอนนั้นรู้สึกดีใจที่เรามีแฟน และได้ไปไหนมาไหนด้วยกันไปทำตามใจภาษาวัยรุ่น และได้ไปมีอะไรกันเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์"

ขณะนี้ที่เกิดขึ้นต่อเหตุการณ์นี้

"......ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจที่แฟนเรายอมมีอะไรด้วย มันเหมือนว่าเขารักเราจริงๆ เขาจึงยอมที่จะมีอะไรกับเรา"

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้ว

"......ตกใจมากและรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับการกระทำของเราในครั้งนั้นที่ทำให้เราเสียทั้งเงินและความเดือดร้อนของพ่อแม่ที่เราทำลงไป เพราะความประมาทรู้เท่าไม่ถึงการณ์"

แนวทางการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์หรือพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น

 "......หากเราคบหากันแบบแฟนเราก็ควรที่จะศึกษาใจกันให้ดีก่อนที่จะมีอะไรกัน และอย่าไปมีอะไรกันกับแฟนหากแฟนอายุต่ำกว่า 15 ปีหรือ 18 ปี หากพลาดไปก็จะต้องมาพบจุดจบเหมือนผม"

ดูเอาฮา ..แต่มีสาระ


สาระสำคัญ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 บัญญัติว่า
"ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี และปรับตั้งแต่  6,000-30,000 บาท"